
บัญชีการระบายมลพิษที่เป็นแบบคงที่ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาต่าง ๆ เมื่อนำข้อมูลไปใช้ร่วมกับแบบจำลอง Weather Research and Forecasting (WRF) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อประเมินการแพร่กระจายของสารมลพิษในอากาศ อาจจะส่งผลให้ผลการประเมินเกิดความคลาดเคลื่อน โครงการวิจัยนี้ จึงได้ทำการศึกษาและพัฒนาบัญชีการระบายมลพิษที่เป็นแบบ Near real-time จากแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก 3 แหล่ง ได้แก่ จากการจราจรทางบก, การเผาในที่โล่ง และโรงงานอุตสาหกรรม ของจังหวัดปทุมธานี โดยใช้ข้อมูลจากกล้องจราจรร่วมกับ Google map API, ข้อมูลจากดาวเทียม และข้อมูล CEMS ตามลำดับ โดยข้อมูลการระบายมลพิษทั้งหมดแบบรายชั่วโมงจะถูกนำเข้ามารวมและแสดงผลบนแพลตฟอร์ม Web application เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล และสะดวกต่อการนำโมเดลไปใช้ขยายผลกับพื้นที่อื่น ๆ ผลจากการศึกษา พบว่า ปริมาณการระบายมลพิษจากการจราจรทางบกในวันธรรมดาจะเกิดสูงสุดในช่วงเวลา 18.00 น. และจะสูงกว่าในช่วงวัดหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน โดยตำแหน่งการเกิดมลพิษสูงสุดอยู่ที่บริเวณขอบที่ติดกับจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร สำหรับปริมาณการระบายมลพิษจากการเผาในที่โล่งที่คำนวณได้จะมีค่าน้อยกว่าค่าที่เคยคำนวณไว้ในปี 2561 ถึง 78% เนื่องจากปริมาณเศษวัสดุทางการเกษตรที่น้อยกว่า และเกษตรกรเลือกกำจัดเศษวัสดุด้วยวิธีอื่น แทนการเผา และบัญชีการระบายมลพิษแบบ กึ่ง Real-time ได้ประเมินจากจุดความร้อนจากดาวเทียมระบบ VIIRS ซึ่งมีการโคจรผ่านจังหวัดปทุมธานีเพียงวันละ 2 รอบ ในช่วงเวลา 02.00 และ 13.00 เพื่อให้การจัดทำบัญชีการระบายมลพิษมีค่าใกล้เคียงกับค่าที่เกิดขึ้นจริงมากยิ่งขึ้น จำเป็นจะต้องใช้การประเมินจากร่องรอยการเผา (Burned area) มาประกอบการคำนวณ และในส่วนของการระบายมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมของ จังหวัดปทุมธานี มีเพียงแค่ 6 โรงงานเท่านั้น ที่มีการติดตั้งระบบ CEMS และเป็นอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าทั้งหมด บัญชีการระบายมลพิษจากโรงงานส่วนใหญ่จึงยังคงเป็นแบบคงที่ ซึ่งการระบายมลพิษจะมีมากในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ โดยชนิดมลพิษที่มีการระบายมากที่สุด คือ CO2 รองลงมา คือ SO2 และมลพิษที่มีการระบายน้อยที่สุด คือ NH3

งานวิจัยนี้ได้จัดทำขึ้น เพื่อประเมินหาสัดส่วนมลพิษจากแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายในและภายนอก กรุงเทพมหานคร ที่ส่งผลต่อความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานให้กรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดการปัญหาฝุ่นขนาดเล็กได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยที่สามารถแจกแจงได้ถึงแหล่งกำเนิดที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครว่ามาจากแหล่งกำเนิดมลพิษในกรุงเทพ นอกกรุงเทพ และต่างประเทศสัดส่วนเท่าไหร่ โดยงานวิจัยนี้ได้พัฒนาบัญชีการระบายมลพิษของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจากการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อประเมินมลพิษในปี 2562 และใช้แบบจำลองทางคณิตศาตร์ WRF-CAMx เพื่อประเมินสัดส่วนของมลพิษดังกล่าว การพัฒนาบัญชีการระบายสารมลพิษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับปีฐาน 2562 ครอบคลุม 13 แหล่งกำเนิดมลพิษ โดยแหล่งกำเนิดหลักของมลพิษที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปฐมภูมิและทุติยภูมิในบรรยากาศที่เกิดจากมนุษย์ ได้แก่ ยานพาหนะในภาคขนส่ง (PM2.5= 21.3%, CO= 23.0%, NOx = 47.1% และ NMVOC = 40.2%) การเผาไหม้ชีวมวลในที่โล่ง (PM2.5= 43.0%, CO= 41.0% NMVOC = 27.4% และ NH3 = 59.1%) และโรงงานอุตสาหกรรม (PM2.5= 16.9%, NOx = 40.0% และ SO2 = 79.1%) เมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาอื่น พบว่า บัญชีการระบายสารมลพิษอยู่ในเกณฑ์ที่เชื่อถือได้ ยกเว้นแหล่งกำเนิดมลพิษจากการเผาชีวมวลในที่โล่ง พบว่า มีค่าสูงกว่าการศึกษาอื่น กรุงเทพมหานครมีการปลดปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูงที่สุด 12.7 กิโลตันต่อปี หรือคิดเป็น 24.9% จาก 6 จังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีแหล่งกำเนิดมลพิษหลักคือ ยานพาหนะในภาคขนส่ง 34.8% ฝุ่นจากถนน 20.0% และการเผาไหม้ชีวะมวลในที่โล่ง 19.8% อย่างไรก็ตามสำหรับจังหวัด ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม มีแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 คือ การเผาไหม้ในที่โล่งคิดเป็น 74.0%, 52.0% และ 66.2% ตามลำดับ ในส่วนของจังหวัดสมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบว่าแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 คือ โรงงานอุตสาหกรรม...